เปิดแนวทางเฝ้าระวัง “โควิด-19” ในสถานศึกษาหลังเป็นโรคติดต่อ

“กระทรวงสาธารณสุข”เผยแนวทางเฝ้าระวัง “โควิด-19” แพร่ระบาดในสถานศึกษา หลังปรับเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง พร้อมย้ำติดเชื้อไม่ต้องปิดเรียน จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม

วันที่ 3 ต.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าว “โควิด-19 กับชีวิตเด็กๆ ในวัยเรียน” ว่า ภายหลังจากกระทรวงสาธารณสุขประกาศยกเลิกโควิด-19 จากการเป็นโรคติดต่ออันตราย และกำหนดให้เป็น 1 ใน 57 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 ได้มีการจัดระบบเฝ้าระวังโควิด-19 ใน 4 ส่วน คือ

1. การเฝ้าระวังในโรงพยาบาล

2. การเฝ้าระวังการระบาดในลักษณะกลุ่มก้อน หรือคลัสเตอร์ หากมีการแพร่ระบาดจำนวนมาก ต้องมีระบบในการควบคุมและสอบสวนโรค

3. การเฝ้าระวังในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

4. การเฝ้าระวังเรื่องการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในปัจจุบัน พบอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต ซึ่งผู้เสียชีวิตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ย 6-10 รายต่อวัน ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือไม่ได้รับวัคซีน โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 30 ก.ย. 2565 พบผู้ติดเชื้ออายุระหว่าง 0-18 ปี มีจำนวนลงลดอย่างชัดเจน และมีอัตราการเสียชีวิตในระดับต่ำ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และสมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก ยังคงเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในสถานศึกษาต่อเนื่อง โดยแนะนำการป้องกัน 3 ส่วน ดังนี้

1. สถานศึกษา ให้ประกาศนโยบายมิติสุขภาพและคำแนะนำการป้องกันโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง จัดสภาวะแวดล้อมของสถานศึกษาให้สะอาด ปลอดภัย มีสุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาล มีระบบการระบายอากาศที่ดี ประเมินความเสี่ยงตามความเหมาะสม หรือตามคำแนะนำของ สธ. และคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด และส่งเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่ ครู บุคลากร นักเรียนและผู้ปกครอง

2. นักเรียนและบุคลากร ต้องปฏิบัติตามสุขอนามัยส่วนบุคคลขั้นพื้นฐานเป็นกิจวัตร คือ ล้างมือ สวมหน้ากากในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ประเมินความเสี่ยงของตนเองด้วย Thai Save Thai ถ้าเสี่ยงสูง แนะนำตรวจ ATK หรือปรึกษาหน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่ และรับวัคซีน

3. การเฝ้าระวัง ให้สถานศึกษาตรวจคัดกรองสุขภาพนักเรียนตามมาตรฐานงานอนามัยโรงเรียน พร้อมกับเฝ้าระวังและสังเกตอาการป่วย หากมีการป่วยเป็นกลุ่มก้อน ให้ประสาน ปรึกษา และส่งต่อสถานพยาบาล และกำกับติดตามรายงานตามมาตรฐาน ผ่านออนไลน์อนามัยโรงเรียน

สำหรับข้อมูลการรับวัคซีนโควิด-19 ของนักเรียน วันที่ 3 ตุลาคม 2565 พบว่า กลุ่มอายุ 12-17 ปี ทั้งหมด 5,333,639 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 4,723,369 คน คิดเป็น 88.56% เข็มที่ 2 จำนวน 4,386,081 คน คิดเป็น 82.23% เข็มที่ 3 จำนวน 1,140,580 คน คิดเป็น 20.35% ส่วนอายุ 5-11 ปี ทั้งหมด 5,002,698 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 3,328,184 คน คิดเป็น 64.6% เข็มที่ 2 จำนวน 2,493,003 คน คิดเป็น 48.4% และเข็ม 3 จำนวน 56,807 คิดเป็น 1.1% ดังนั้น ยังคงมีความจำเป็นที่นักเรียนจะต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานศึกษาที่พบการติดเชื้อโควิด-19 ทั้งไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย นักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา ให้ปฏิบัติดังนี้ คือ จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม ไม่ต้องปิดเรียน ปฏิบัติตามหลักการ Universal Prevention เน้นมาตรการ 6-6-7 เข้มการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดทำกิจกรรมรวมกลุ่ม จัดพื้นที่ให้มีระบบระบายอากาศที่ดี และทำความห้องเรียน/ชั้นเรียน ส่วนกรณีที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาการปานกลางหรือรุนแรง ให้สถานศึกษาปฏิบัติตามแนวทางการดูแลรักษาของ สธ. และติดต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่.